อาข่า เป็น ชนเผ่าที่สืบเชื้อสายมาจากไหนไม่ทราบแน่ชัด แต่มีชาวอาข่าอาศัยกระจัดกระจายอยู่ ในภาคเหนือของประเทศไทย, เชียงตุง, รัฐฉาน ของประเทศพม่า และทางแคว้นสิบสองปันนาทางตอนใต้ของจีน ภาษาอาข่าจัดอยู่ในกลุ่มภาษาจีน แต่ก็ไม่ใช่ภาษาจีนเสียทีเดียว อาข่าโดยส่วนมากจึงพูดได้หลายภาษาเพราะต้องอาศัยปะปนกับหลายชนเผ่า
อาข่าแบ่งผู้ชายออกเป็น 2 ช่วง คือช่วงแรกตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 13 ปี เรียกว่า “ อ่าลี หญ่า ” แปลว่าเด็กชายและหลังจาก 13 ปีขึ้นไปเรียกว่า “ ห่า เจ๊ หญ่า โย ” แปลว่าเป็นผู้ชายเต็มตัว ในส่วนของผู้หญิงอ่าข่าได้แบ่งออกเป็น 4 ช่วงของชีวิต ช่วงแรก เรียกว่า “ อ่าบู๊หญ่า ” แปลว่า เด็กน้อย ซึ่งมีอายุตั้งแต่เกิดจนถึง 13 ปี พออายุตั้งแต่ 13 ปีถึง 18 ปี เรียกว่า “ หมี่ เตอ เตอ จ๊อ ” แปลว่า เข้าสู่วัยสาว และเมื่อเข้าสู่อายุตั้งแต่ 18 ปีถึง 25 ปี เรียกว่า “ จ๊อมา หมี่ โล้ ” แปลว่าหญิงสาวที่พร้อมจะออกเรือนแล้ว และหากหญิงที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป อ่าข่าเรียกว่า “ หมี่ ดะ ดะ โอ้ว ” หรือ “ หมี่ ดะ ช้อ หม่อ ” แปลว่าสาวแก่ สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงช่วงอายุดูได้จากการแต่งกาย เช่น หมวก เป็นต้น
ความเชื่อ
ความเชื่อในภาษาอาข่าเรียกว่า "นือจอง" อาข่าเป็นชนเผ่าที่มีความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ ภูตผี ปีศาจ ไสยศาสตร์ สิ่งเร้นลับ พิธีกรรมคำสอนที่ได้รับการปลูกฝังมาจากบรรพบุรุษ และสืบทอดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผี "แหนะ" ตามความเชื่อของอาข่า
สภาพปัจจุบัน
ปัจจุบันอาข่ายังมีการใช้หลักความเชื่อในการดำรงชีวิตอยู่ แต่อาข่าบางส่วนก็หันไปนับถือศาสนาคริสต์และอิสลาม เพราะการนับถือดั้งเดิมจะต้องเคร่งในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งต้องใช้สัตว์ต่างๆ ในการทำพิธีเซ่นไหว้เป็นจำนวนมาก เป็นเหตุทำให้อาข่าจำเป็นต้องทิ้งความเชื่อดั้งเดิม แล้วหันไปนับถือศาสนาอื่น
ลักษณะนิสัย
อาข่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าและมีความสุขมากที่สุด เนื่องจากภูมิประเทศที่อยู่อาศัยเป็นที่สูงที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี พวกเขาจะมองเห็นความงดงามของธรรมชาติรอบข้างตลอดชีวิต
จึงทำให้พวกเขามีจิตใจที่เบิกบานอยู่เสมอแม้ว่าชีวิตในแต่ละวันจะมุ่งอยู่กับงานที่หนักหนาเพียงใดก็ตาม เมื่อมองออกไปเบื้องหน้าก็จะเห็นแต่ภูเขาที่สูงตระหง่าน มองดูสลับซับซ้อนไปจนสุดตาซึ่งจะเปลี่ยนสีสันไปตามฤดูกาลทำให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและคลายความเหน็ดเหนื่อยลงได้
อาข่าเป็นกลุ่มชนที่มีจิตใจดีงามเสมอ รักธรรมชาติ รักความสงบและชอบสันโดษ ไม่ชอบความรุนแรง เป็นชาวเขาเพียงเผ่าเดียวที่มีการติดต่อกับคนนอกเผ่าน้อยที่สุด ชาวอาข่ามีความสุขได้ทุกเมื่อแม้ในยามเดินทางกลับบ้านเพียงผู้เดียวก็จะร้องเพลงดังๆ เพื่อปลอบใจตนเอง ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของชนเผ่าอาข่าคือการร้องเพลงตอบโต้ในระหว่างหนุ่มสาวที่กำลังทำไร่อยู่คนละดอย หรือผู้อาวุโสร้องเพลงเพื่อสั่งสอนลูกหลานให้รู้ถึงตำนานของชาวอาข่า เป็นต้น
เสียงดนตรีที่เร้าใจ เช่น แคนน้ำเต้าและขลุ่ยหรือเครื่องเป่าชนิดอื่นๆ ประกอบกับการเต้นรำด้วยจังหวะช้าๆ ในคืนเดือนหงายบนลานสาวกอด หรือในยามที่มีประเพณีต่างๆบนดอย จะชวนให้เด็กและหนุ่มสาวผู้มีดนตรีในหัวใจออกมาร้องเพลงอย่างสนุกสนาน
เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นบนยอดดอยสูงซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเขาจึงทำให้พวกชาวอาข่าไม่ชอบอาบน้ำกันบ่อย ในปีหนึ่งพวกเขาจะอาบน้ำกันปีละหนึ่งถึงสองครั้งเท่านั้น และบางครั้งก็เป็นเพียงแค่เอาน้ำลูบหน้าและศีรษะเท่านั้นก็เสร็จ ดังนั้นการทำความสะอาดฟันก็ไม่มีเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่ชาวอาข่านิยมกินหมากเพื่อเป็นการรักษาปากและฟัน แต่สำหรับคนหนุ่มสาวนิยมใส่ฟันทองกันมากกว่า
ในอดีตชีวิตของกลุ่มชุมชนชาวอาข่ามักจะขาดคุณภาพชีวิตอยู่มากไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การรักษาสุขภาพอนามัยก็ตามดังนั้น ชาวอาข่าจึงเจ็บไข้ได้ป่วยล้มตายกันบ่อยๆ แต่พวกเขาจะเชื่อว่าเป็นการกระทำของผีป่าหรือผีบ้านเสมอ จึงต้องมีหมอผีประจำหมู่บ้านขึ้น
ชาวอาข่าเชื่อว่าการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากภูตผีได้จับเอาขวัญของคนไว้เพราะเชื่อว่าในคนๆหนี่งจะมีขวัญอยู่ 12 ขวัญ หากผีจับเอาขวัญของคนไว้เพียงขวัญเดียว ก็จะทำให้คนๆนั้นล้มป่วยลงได้ ถ้าขวัญทั้ง 12 ออกจากร่างไปเมื่อใดก็หมายถึงความตายทันที วิธีรักษาก็จะต้องอาศัยหมอผีช่วยตรวจดูว่าผีใดเป็นต้นเหตุแห่งการเจ็บป่วยและต้องการเครื่องเซ่นอะไร ก็จะจัดพิธีเซ่นไหว้ตามแต่จะต้องการให้จนกว่าจะหายป่วยเป็นปกติ
ในปัจจุบันเมื่อทางการได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาและด้านการสาธารณะสุขในหมู่บ้านชาวเขาบนดอยจึงทำให้คุณภาพชีวิตชาวอาข่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนมากจะหันมาใช้ยาแผนปัจจุบันรักษาโรคต่างๆ ตลอดจนนิยมใช้โรงพยาบาลในเมืองมากขึ้น เป็นต้น
เนื่องจากธรรมชาติได้สอนให้ชาวอาข่ามีความถนัดในด้านการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ การปลูกข้าวโพด และพืชไร่ตลอดจนพืชผักต่างๆ ชาวอาข่าจะนิยมปลูกบนไหล่เขาบนดอยสูงและจะอดทนกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้ดีกว่าสภาพอากาศที่ร้อน ซึ่งจะทำให้พวกเขาไม่สบายได้ง่ายด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ชาวอาข่าไม่ค่อยจะลงไปจากดอยบ่อยนัก การคบหาสมาคมกับผู้คนพื้นราบจึงน้อยลงไปด้วย
การกินเนื้อสุนัขสีดำ อาข่าถือว่าเป็นว่าสิ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและอบอุ่น ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ พวกเขาจึงนิยมกินเนื้อสุนัขกินเนื้อสุนัขสีดำกันเสมอ โดยเฉพาะในหญิงที่คลอดบุตรใหม่ๆ มักจะให้กินเนื้อสุนัข ทั้งนี้เชื่อว่าเพื่อที่จะทำให้ร่างกายฟื้นตัวและเข้าสู่สภาพปกติโดยเร็วนั่นเอง
สังคมอาข่าจะปลูกฝังให้ทุกคนต้องเคารพและเชื่อฟังคำสั่งสอนของบรรพบุรุษสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ในรอบปีหนึ่งๆ ชาวอาข่าจะมีพิธีกรรมอยู่มากมายที่ต้องปฏิบัติ ซึ่งผู้อาวุโสจะจดจำและถ่ายทอดไปสู่รุ่นหลานได้หมดสิ้น
ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของชาวอาข่าคือการสูบยาเส้น หญิงสาวอาข่ามักจะปลูกต้นยาสูบ เก็บใบไปหั่นตากแห้งเอาไว้ใส่ในกล่องยาสูบซึ่งทำขึ้นเอง กลิ่นยาเส้นของชาวอาข่า อาจจะทำให้คนนั่งใกล้ทนไม่ได้ซึ่งเป็นสาเหตูหนึ่งที่ทำให้ชาวอาข่ารู้สึกว่าถูกรังเกียจเหยียดหยาม
แต่ถ้าหากมีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมบ้านของชาวอาข่าเขาก็จะรับรองแขกด้วยน้ำชาเป็นอันดับแรกเสมอ นอกจากนี้เหล้าก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในสังคมอาข่า “ยินะ” หรือเหล้า มักมีบทบาททุกครั้งในพิธีกรรมต่างๆของชาวอาข่า แต่จะไม่มีการดื่มเหล้าจนเมามายซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องน่าละอายอย่างมาก
ชาวอาข่ามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสงบและเชื่อฟังผู้นำอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะในเรื่องของพิธีกรรม และประเพณีของเผ่า ชาวอาข่ามักจะเชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์ทั้งหลายในป่าเขาเป็นผู้คุ้มครองให้ชาวบ้านในหมู่บ้านอยู่เย็นเป็นสุขได้ หากมีการทำผิดหรือหลบหลู่ผีบรรพบุรุษจะทำให้เดือดร้อนจนเจ็บป่วยได้ ดังนั้นชาวอาข่าจึงกระทำพิธีเซ่นไหว้ขอขมาและจัดเลี้ยงผีอยู่เสมอ
อ้างอิงจาก http://www.cmdiocese.org/th/_/ethnic/akha/34-34
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2โดย นายพงสกร หรั่งทอง ม.5/8 เลขที่45
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น